ผู้ติดตาม

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ผีในทางวิทยาศาสตร์




ผีในทางวิทยาศาสตร์
ได้มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อ โดนัลด์ จี คาร์เพนเตอร์ (Dr. Donald G. Carpenter) ศึกษาสิ่งที่เรียกว่าผีจากรายงานทั่วโลกและได้ข้อสรุปทางฟิสิกส์ต่าง ๆ ดังนี้
นิยามของคำว่าผี
1. ผีอยู่ภายใต้กฏของฟิสิกส์
2. ผีไม่ใช่เรื่องมายากล ไม่ใช่ปาฎิหาริย์ และไม่ใช้เรื่องนอกเหนือกฎธรรมชาติข้อใด ๆ ทั้งสิ้น (ตามที่สันนิษฐานไว้ในข้อ 1.)
3. ผี (Ghost), การหลอกหลอน (poltergeist), วิญญาณ (Soul) ล้วนเกิดขึ้นมาจากสาเหตุเดียวกัน แต่เป็นปรากฏการณ์ในรูปแบบต่างกัน
4. ผี (จากกฎข้อ 1 แล้ว) นับเป็น "สิ่งที่มีตัวตน" ควรจะมีคุณลักษณะคล้ายคลึงกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผีตามความเชื่อของชนชาติใด ๆ ก็ตาม
5. ในการปรากฏกายของผีโดยเฉลี่ยแล้ว "ร่าง" ของผีจะกินเนื้อที่เป็นปริมาณ ประมาณ 0.07 ลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นปริมาตรเฉลี่ยเท่ากับคนธรรมดาที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 70 กิโลกรัม
มาตรฐานการพบเห็นผี (Standard Night time Ghost : SNG)
- กรณีแรก เกิดขึ้นโดยตรงกับสมองของผู้ประสบเหตุ อาจเกิดจากการรบกวนกระบวนการไฟฟ้าชีวเคมีในสมอง ทำให้ประสาทและระบบรับความรู้สึกเกิดความผิดเพี้ยน โดยเฉพาะในส่วนของมันสมองและไขสันหลัง (หรืออาจจะเรียกว่า "ประสาทหลอน" ก็ว่าได้) หรือไม่ก็เกิดจากการกระตุ้นให้สมองเกิดภาพหลอนขึ้นเอง โดยสิ่งเร้าภายนอก โดยอาจใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีขนาดพอเหมาะยิงตรงไปยังสมองก็เป็นได้ หรือเกิดการควบคุมสภาวะแวดล้อมบางอย่าง ซึ่งมีผลกระทบต่อจิตใจและอารมณ์ความรู้สึก (ซึ่งเรียกว่า "ถูกควบคุมหรือถูกทำให้เกิดประสาทหลอน")
ซึ่งกรณีนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าผีไม่มีจริงในโลก
- กรณีที่สอง ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าผีมีจริง ซึ่งหากไม่ใช่กรณีแบบสมมติฐานแรก สามารถแบ่งการปรากฏของผีได้ 7 ข้อ ดังนี้
1. ผีปรากฏตัวทั้งในเวลากลางคืนและกลางวันในเวลากลางวันมีการพบเห็นน้อย การปรากฏตัวแต่ละครั้งกินเวลายาวนานไม่แน่นอน
2. ผีสามารถเปล่งแสงสว่างหรือเรืองแสงในตัวเองได้ โดยต้องมีกำลังส่องสว่าง อยู่ในช่วงความเข้มแสงประมาณ 1-20 แรงเทียน จึงจะทำให้สายตามนุษย์สามารถมองเห็นได้
3. การปรากฏตัวของผีจะทำให้บรรยากาศโดยรอบมีอุณหภูมิลดลงอย่างเฉียบพลัน เนื่องจากผีต้องดึงเอาพลังงานความร้อน ในบรรยากาศอย่างน้อย 60 จูลส์ เข้าไปสะสมทำให้ตัวเองเปล่งแสงออกมาได้
4. การปรากฏกายของผีต้องมีเครื่องนุ่งห่มด้วย และมักปรากฏในลักษณะเป็นภาพราง ๆ โปร่งแสงมองทะลุได้บ้าง และมีขนาดเล็กกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป
5. ผีจะปรากฏในสภาพที่หันหน้าเข้าหาผู้พบเห็นบ่อยครั้งกว่าหันหลัง
6. ผีมักปรากฏตัวในร่างของมนุษย์หรือเหมือนมนุษย์ (ประมาณ 90 เปอร์เซนต์ เท่าที่มีการศึกษา) มีน้อยมากที่ปรากฏตัวในร่างของสัตว์
7. มักจะมีเสียงหรือกลิ่นเกิดขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของผีในแต่ละครั้ง
และหากไม่เข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งใน 7 ข้อนี้ ไม่นับว่าเป็นผี



วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความเชื่อ เรื่อง "ผี"



     ผี  เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถพิสูจน์ หรือตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือที่เชื่อถือได้ จึงยังไม่เป็นที่ยอมรับในทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นความเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องความตาย และมีอยู่ในเรื่องเล่ามานานในอดีต ผู้คนมักหวาดกลัวกับผี ไม่ว่าขณะที่เจอกับผี จะมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน หรือไม่ก็ตาม โดยสัญชาติญาณแล้วเมื่อรู้สึกว่าตนเจอผี คนจะตัดสินใจที่จะหนี พูดคุยเสียงดังๆแม้ว่าจะคุยคนเดียว สวดมนต์ต์ ขออภัยที่ล่วงเกิน หรือวิธีใดวิธีหนึ่งเพื่อทำให้ตนรู้สึกปลอดภัยขึ้น



     ผี  เป็นความเชื่อดั้งเดิมของมนุษย์แต่ครั้งโบราณทุกชาติ ทุกเผ่าพันธุ์ ตั้งแต่ยุคก่อนจะมีศาสนา แม้ปัจจุบันนี้ ความเชื่อเรื่องผีจะเลือนหายไปบ้างแล้ว แต่ก็มีผู้คนส่วนมากที่เชื่อในเรื่องผีและสิ่งลี้ลับแม้ในประเทศที่เจริญแล้วก็ตาม
     ผี  ในคติความเชื่อของคนไทยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ คือ ผีดี และ ผีร้าย ผีดี คือบรรพบุรุษที่คอยคุ้มครองดูแล แต่ถ้าไม่เคารพไม่บูชา ไม่เซ่นสวรวง ก็อาจให้โทษได้เช่นกัน เช่น ผีบ้านผีเรือน เป็นต้น ส่วนผีร้าย คือ ผีที่คอยรังควาญ ไม่มีประโยชน์ เช่น ผีปอบ ผีกระสือ เป็นต้น
    ผี อาจจะมีมาได้ในหลายลักษณะ แต่ส่วนมากมักจะปรากฏในรูปของอดีตมนุษย์ หรือมีลักษณะบางส่วนที่ค่อนข้างคล้ายกับมนุษย์ ผู้ประสบเหตุการณ์เช่นนี้มักมีความกลัวที่ฝังใจ และเชื่อว่าการที่เจอผีนี้ จำเป็นที่จะต้องทำพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อความสบายใจ หรือเพื่อความปลอดภัย เช่น การกรวดน้ำ ทำพิธีสะเดาะห์เคราะห์ ทำบุญอุทิศส่วนกุศล ทำพิธีส่งวิญญาณ ฯลฯ ตามแต่ความเชื่อของแต่ละท้องที่ หรือ แต่ละบุคคล
ในทางจิตวิทยา อธิบายว่า การที่มนุษย์กลัวผีเกิดจากการที่กลัวบรรพบุรุษ


คติความเชื่อเรื่องผี    เป็นคติความเชื่อที่มีอยู่ในปัจเจกชนแต่ละคน ซึ่่งพยายามหาคำตอบในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ผีเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเหนือธรรมชาติ ที่อยู่เหนืออำนาจการควบคุมของมนุษย์ เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มนุษย์มีความผูกพันกันและได้แสดงพฤติกรรมร่วมกันเกิดเป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผี

พูดคำว่า "ผี" คนทั่วไปคิดถึง "วิญญาณ" (soul) ของคนที่สิ้นชีวิตไปแล้ว หรือเป็นวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในธรรมชาติ ดีบ้างร้ายบ้าง หลายกรณีผู้คนสร้างบ้านให้ผีอยู่ ตามทุ่งนา ป่า เขา ในหมู่บ้าน บริเวณบ้าน ตามถนนหนทางและสถานที่ต่างๆ
       
เดิมทีผู้คนในท้องถิ่นนับถือผีเป็นหลัก ต่อมาศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเข้ามาพร้อมกับ "เทวดา" ซึ่งก็คือ "ผี" นั่นเอง แต่มี "ระดับ" กว่าผี ไล่ผีให้ตกลงไปอยู่ในฐานะด้อยกว่า
       
ผีหรือเทวดาคือการสร้างสรรค์ของจิตที่สะท้อนประสบการณ์ความสัมพันธ์ของตนเองกับความเป็นจริง อธิบายความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ รอบด้วยด้วยบุคลาธิษฐาน (personified) มองเห็นผีเป็น "ตัวตน" คล้ายคน เป็นพลังจินตนาการเช่นเดียวกับเรื่องราวเกี่ยวกับตำนาน นิทาน นิยายทั้งหลาย

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ตำนานศุกร์13


เมื่อเอ่ยถึงวันศุกร์ 13 นั้นหลาย ๆ คนอาจจะนึกไปถึงวันแห่งอาถรรพ์ เพราะเคยมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งใช้ชื่อว่า ศุกร์ 13 ฝันหวาน แต่เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบความเป็นมาว่า ทำไมวันศุกร์ 13 ถึงเป็นวันที่ไม่ดี

ว่ากันว่าความเชื่อที่ว่าถ้าวันศุกร์เกิดไปตรงกับวันที่ 13 ของเดือนใดก็ตามแล้ว จะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้นเป็นความเชื่อของชาวตะวันตก โดยต้นตอแห่งความเชื่อนี้มาจาก อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู (The Last Supper) โดยเชื่อกันว่าในอาหารมื้อนั้นมีผู้ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ 13 คนก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนใน วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday)

ในขณะที่มีอีกความเชื่อหนึ่งกล่าวว่าวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 1307 เป็นวันที่พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทำการจับกุมตัวบรรดาอัศวินเทมพลาร์ชาวฝรั่งเศสจำนวนหลายร้อยคนไป ก่อนจะนำตัวไปทรมานและสังหาร เพื่อนำทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของฝรั่งเศส

ทั้งนี้นักจิตวิทยาพบว่า ในบางคนจะมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือล้มป่วยในวันศุกร์ที่ 13 ซึ่งมีการให้เหตุผลเอาไว้ว่าเป็นเพราะบางคนรู้สึกวิตกจริตเป็นอย่างมากในวันศุกร์ที่ 13 โดยทางศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันอาบำบัดการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเมินว่าในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงิน 800 - 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน

จนทำให้เกิดโรคกลัววันศุกร์ที่ 13 มีชื่อเรียกว่า Paraskavedekatriaphobia หรือ paraskevidekatriaphobia หรือfriggatriskaidekaphobia ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรค triskaidekaphobia คือ โรคกลัวหมายเลข 13

และที่มาที่ทำให้วันศุกร์ 13 กลายเป็นวันโชคร้ายไปทั่วนั้นน่าจะมาจากภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง ศุกร์ 13 ฝันหวาน หรือ "Friday the 13th" ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับฆากรต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวเอกของเรื่องมีเอกลักษณ์เด่นคือการสวมหน้ากากฮ็อกกี้ เพื่อปกปิดใบหน้า ก่อนทำการฆาตกรรมเหยื่อ 

สำหรับความเชื่อเรื่อง ศุกร์ 13 เป็นวันไม่ดีนั้นส่วนใหญ่จะเชื่อกันในหมู่ชาวตะวันตกเสียเป็นส่วนมาก ซึ่งเรื่องแบบนี้นั้นถือเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ

"10" ปรากฏการณ์เห็นผี ไม่เชื่ออย่าลบลู่ !!



ปรากฏการณ์ที่ 1: เยื่อกระจกตาคนตาย ...ถ้าชีวิตของคุณตกอยู่ในโลกที่มืดมิด และกำลังเสาะหาแสงสว่าง... สำหรับ หญิงสาวตาบอดที่เฝ้าฝันถึงโลกที่สวยงาม การมองเห็นเฉกเช่นคนอื่น ย่อมเป็นความปรารถนาที่เฝ้าคอย เพียงทว่าควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า การเลือกมองโลกผ่านมุมมองของคนที่ไม่รู้จัก จะเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันอาจทำให้คุณได้เห็นและสัมผัสกับสิ่งที่คุณไม่อยากเจอเลยทั้งชีวิต 

คำเตือน: เมื่อโลกแห่งวิญญาณที่ผ่านนัยน์ตาของคุณถูกเปิดแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณจะหันหลังกลับ 

ปรากฏการณ์ที่ 2: คนท้องเห็นผี ...การเกิด และการตายคือ 2 สิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์ชั่วนิรันดร์… มี หลายเหตุผลที่หลายคนไม่เคยล่วงรู้ สาเหตุของการดิ้นของลูกน้อย ลูกเตะ สำหรับมารดาที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์นำมาซึ่งปัจจัยในการเชื่อมโยง ระหว่างโลกของคนเป็นและคนตายได้โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวที่กำลังตั้งท้องและคิดฆ่าตัวตาย 

คำเตือน : สำหรับสาวใจแตกที่ตั้งท้องและกำลังคิดสั้นด้วยการกินยาเกินขนาด 

ปรากฏการณ์ที่ 3 : ผีถ้วยแก้ว ...หากบ้านของคุณมีผีมากกว่าหนึ่งตน มีอยู่ที่หนึ่งที่พวกมันจะไปอยู่รวมกัน... แม้ ว่าผีที่อยู่ในถ้วยมักมีนิสัยอยากรู้อยากเห็น แต่ส่วนใหญ่มักชอบความสันโดษ แต่ผีไม่ได้สิงในถ้วยทุกใบ หากใบไหนมีผีสิงอยู่ ระหว่างมันออกหากิน ให้คว่ำถ้วยใบนั้นบนจานรองเสีย เพื่อที่มันจะได้กลับเข้ามาไม่ได้ วิญญาณประเภทนี้สามารถรับรู้ถึงการปรากฏตัวของคนผ่านรอยสัมผัสถ้วย หรือบางครั้งก็ในรูปของคราบที่ถูกทิ้งไว้บนใบชา หรือคราบกาแฟ หากอยากรู้ถึงโชคชะตาให้จับคู่ถ้วยกับชามให้ถูกต้อง การที่จะได้พบพวกมัน คุณต้องพยายามสอดส่ายตอนที่ไล่มันออกจากถ้วย ผีมักจะทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงที่สิงสู่ และมักจะได้เห็นรอยแผลที่แสดงให้เห็นอยู่เสมอ

คำเตือน : ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้เก็บรักษาถ้วยและชามที่เข้าชุดอย่างน้อยหนึ่งชุดไว้ในบ้านเสมอ 

ปรากฏการณ์ที่ 4: เสียงเรียกตอนอาหารมื้อดึก ...อาหาร เป็นของสำหรับสิ่งมีชีวิต ดังนั้นผีจึงไม่สามารถกินอาหารได้ แต่ถ้าพวกมันลืมไปว่าสถานะของพวกมันคืออะไร พวกมันก็จะต้องตายเพราะความหิวโหย... คน ที่ชะตาไม่ถึงฆาตมักมีความสับสน จริงอยู่พวกมันอาจสำเหนียกว่าร่างกายดับสูญไปแล้ว แต่พวกมันก็ยังไม่สามารถรับได้ว่า ตนเองตายไปแล้วจริงๆ หากอยากมองเห็นวิญญาณพวกนี้ ให้นำอาหารไปวางไว้บริเวณจุดที่เพิ่งเกิดอุบัติเหตุ หรือบริเวณทางแยกที่เป็นทาง 3-4 แพร่ง หลังจากให้อาหารแล้วก็ให้เคาะหม้ออาหารด้วยช้อนส้อมหรือตะเกียบ เสียงดังกล่าวจะทำให้วิญญาณตายโหงเหล่านั้นนึกว่าได้เวลาที่จะต้องกินอาหาร แล้ว

คำเตือน : อย่าหยุดเคาะช้อนส้อมหรือตะเกียบจนกว่าอาหารจะหมดไปจากจาน 

ปรากฏการณ์ที่ 5 : เล่นซ่อนหา ...กำลังมองหาที่ซ่อนที่ไม่มีใครหาเจออยู่ใช่ไหม ลองหลบอยู่หลังวิญญาณดูสิ… ผี ที่ยังตัดความเป็นคนไม่ขาดมักชอบสังเกตอะไรรอบตัวเสมอ แม้ว่ารายการทีวียามดึก หรือการเล่นไพ่คือ สองสิ่งที่พวกมันโปรดปราน แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่เทียบเท่ากับการเล่นซ่อนหา การเล่นเกมแบบนี้ในสวนสาธารณะตอนกลางคืน ถ้าให้ดีลองเล่นในบริเวณสุสานดูซิ มักมีผีขี้เล่นเข้ามาร่วมสนุกอยู่เสมอ โดยพวกมันมักจะช่วยบังผู้เล่นคนใดคนหนึ่งไว้ วิญญาณพวกนี้จะบังไม่ให้คนซ่อนได้เห็นภาพเบื้องหน้า หากไม่มีแมวดำผ่านเข้ามา คุณก็จะไม่เห็นอะไรอีกต่อไป 

คำเตือน : ให้สวมนาฬิกาข้อมือทุกครั้งที่เล่นเกมนี้ 

ปรากฏการณ์ที่ 6: ดินฝังศพป้ายตา ….การจะได้เห็นวิญญาณกับตา คุณต้องหาดินที่ฝังร่างพวกมันให้ได้เสียก่อน… ดิน มักจะซึมซับเอาวิญญาณของศพที่เพิ่งตายใหม่ๆ ดินที่อยู่ลึกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งซึมซับวิญญาณมากเท่านั้น ดินที่สกปรก หากป้ายดินดังกล่าวที่บริเวณตา จะทำให้เห็นว่าผีกำลังทำอะไรอยู่ จงอย่าทำอย่างที่ว่าบริเวณที่ผีชุมนุมกันอยู่ เพราะพวกมันจะพาคุณไปอยู่กับมัน 

คำเตือน : ให้อยู่ห่างจากแสงสีขาวสว่างจ้าเอาไว้ 

ปรากฏการณ์ที่ 7 : เงามืดในกระจก ...บางครั้งมันก็อยู่ใกล้ตัว กว่าที่คุณคิด เงามืดผ่านกระจก ยามเที่ยงคืน เสียงนาฬิกาดังตี 12 ครั้งพึงจำไว้ว่า ถึงเวลาที่ใครบางคนรอพบคุณอยู่ เพียงหยิบหวีที่คุ้นเคย นั่งลงตรงหน้ากระจกปิดไฟให้มืดมิด จุดเทียนให้เห็นความสว่างเพียงรำไร จ้องมองตัวเองที่หน้ากระจก แล้วเริ่มต้นหวีผม จับตาดูให้ดีบางสิ่งบางอย่างจ้องมองมาที่คุณผ่านเงาสะท้อนมืดก็จะเห็นผี ผ่านกระจก

คำเตือน : อย่าแปลกใจที่ในกระจกอาจไม่ใช่สิ่งที่คุณคุ้นเคย 

ปรากฏการณ์ที่ 8 : เงามรณะ ...ข้อห้ามบางอย่างพึงจำไว้ อาจมาจากประสบการณ์ที่ปราศจากลมหายใจ.. เงา ทุกเงาล้วนมีที่มา เฉกเช่กในระหว่างที่คุณเดินทาง หรืออยู่แห่งหนใดภายใต้ชายคา หรืออาคาร ระวังให้ดีถ้ามีร่มอยู่ในมือ คนไม่เชื่อหลายคนล้วนอาจประสบการณ์สยองมาแล้ว จากความคะนองกางร่มในมืด เงามรณะจะถามหาและติดตามคุณไปตลอดกาล

คำเตือน : สัมผัสสยองที่ไม่เกี่ยงเพศ และวัย ถ้าใจไม่แข็งอย่าลอง 

ปรากฏการณ์ที่ 9 : หว่างขา …คือ ช่องทางจากโลกนี้สู่อีกโลกหนึ่ง...โลกของคนตาย คน เราอาจจำไม่ได้แล้วว่าเราเกิดขึ้นมาในโลกนี้ได้อย่างไร แต่แน่นอนว่าทุกคนรู้ดีว่าตัวเองเองออกมาจากหว่างขาแม่ของเรา หากอยากมองเห็นโลกอีกโลกหนึ่งให้ลองก้มมองลอดหว่างขาตัวเองดู แต่อย่ามองนาน จนคนในอีกโลกที่เราเห็นรู้ตัวเข้า เพราะคุณอาจถูกลากเข้าไปในโลกของมันเพื่อเกิดใหม่

คำเตือน : ผู้หญิงเท่านั้นที่ต้องระวัง ยกเว้นเฉพาะคนท้อง 

ปรากฏการณ์ที่ 10 : ชุดงานศพ …ลองสวมชุดคนตาย ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาตายดูซิ แล้วลองกลั้นลมหายใจดู การเดินทางสู่ปรโลกจักเริ่มต้น … หากอยาก รู้ว่าภพหน้าเป็นอย่างไร ก็ลองจัดงานศพปลอมๆ ให้ตัวเองด้วยการขอยืมโลงศพจากคนตายที่รอฌาปนกิจมาลองนอนดู จงอย่าลืมนำเหรียญติดตัวไปด้วยหลายๆ เหรียญ เพราะการลองทำเช่นนั้นคุณจะต้องจ่ายด้วยอะไรบางอย่าง

คำเตือน : อย่าใช้เงินจนเกินเครดิตล่ะ